ติดโซลาร์รูฟท็อป ลดหย่อนภาษีได้แล้ว! โอกาสทองของคนอยากประหยัดค่าไฟและรักษ์โลก
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติมาตรการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่การใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้ในการประชุม COP26 ซึ่งรวมถึงการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065)
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ในการจัดทำแนวทางการส่งเสริมดังกล่าว โดยได้รับความเห็นชอบจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่:
- กรมสรรพากร
- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
- สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
- การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
- การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)
- การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟผ.)
รายละเอียดมาตรการ
มาตรการที่ 1: การส่งเสริมการลงทุนและการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
กลุ่มเป้าหมาย: ประชาชนทั่วไปและนิติบุคคล
สิทธิประโยชน์ทางภาษี: สามารถลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่าของรายจ่าย
ระยะเวลาดำเนินการ: ต้องได้มาและใช้ประโยชน์ภายใน 31 ธันวาคม 2571 โดยกฎหมายจะมีผลบังคับใช้นับแต่วันประกาศจนถึง 31 ธันวาคม 2571
ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น:
- การกระตุ้นเศรษฐกิจประมาณ 254,063.22 ล้านบาท
- ลดการใช้ไฟฟ้าของประเทศประมาณ 30,268.16 ล้านหน่วยต่อปี
- ลดการนำเข้า Spot LNG เพื่อผลิตไฟฟ้า 110,188.33 ล้านบาท
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 15.34 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
มาตรการที่ 2: การส่งเสริมการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar rooftop) ในบ้านอยู่อาศัย
กลุ่มเป้าหมาย: ภาคครัวเรือน
ระยะเวลาดำเนินการ: นับถัดจากวันที่ราชกิจจานุเบกษาประกาศให้มีผลบังคับใช้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570
ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น:
- การกระตุ้นเศรษฐกิจประมาณ 20,250 ล้านบาท
- ลดการใช้ไฟฟ้าของประเทศประมาณ 584 ล้านหน่วยต่อปี
- ลดการนำเข้า Spot LNG เพื่อผลิตไฟฟ้า 2,100 ล้านบาท
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 2.65 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
| เงินได้สุทธิต่อปี | อัตราภาษี | ยอดลดหย่อนสูงสุด 200,000 บาท (รวม VAT) |
| ไม่เกิน 150,000 บาท | ไม่ต้องเสียภาษี | ไม่สามารถลดหย่อนได้ |
| ตั้งแต่ 150,001 บาท – 300,000 บาท | 5% | 10,000.00 บาท |
| ตั้งแต่ 300,001 บาท – 500,000 บาท | 10% | 20,000.00 บาท |
| ตั้งแต่ 500,001 บาท – 750,000 บาท | 15% | 30,000.00 บาท |
| ตั้งแต่ 750,001 บาท – 1,000,000 บาท | 20% | 40,000.00 บาท |
| ตั้งแต่ 1,000,001 บาท – 2,000,000 บาท | 25% | 50,000.00 บาท |
| ตั้งแต่ 2,000,001 บาท – 5,000,000 บาท | 30% | 60,000.00 บาท |
| ตั้งแต่ 5,000,001 บาท ขึ้นไป | 35% | 70,000.00 บาท |
ผลกระทบรวมและประโยชน์ระยะยาว
มาตรการทั้งสองนี้จะช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประเทศในหลายด้าน:
ด้านเศรษฐกิจ: การกระตุ้นเศรษฐกิจรวมกว่า 274,313 ล้านบาท จากการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดและอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน
ด้านพลังงาน: ลดการใช้ไฟฟ้าของประเทศรวมกว่า 30,852 ล้านหน่วยต่อปี และลดการนำเข้า Spot LNG เพื่อผลิตไฟฟ้ารวมกว่า 112,288 ล้านบาท
ด้านสิ่งแวดล้อม: ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกว่า 17.99 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
ด้านความมั่นคงพลังงาน: ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างยั่งยืน ลดต้นทุนการผลิต และสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศในระยะยาว
สรุป
มาตรการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษีนี้ เป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ โดยผ่านกลไกทางภาษีที่จูงใจให้ทั้งภาคเอกชนและภาคครัวเรือนเข้าร่วมในการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและการสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศในระยะยาว

